แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เรื่องสิวสิว แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เรื่องสิวสิว แสดงบทความทั้งหมด

หาเพื่อนไลน์ ,หาเพื่อนชาย ,หาเพื่อนหญิง ,หาเพื่อนทอมดี้ ,หาเพื่อนเลสเบี้ยน,


หาเพื่อนไลน์ ,หาเพื่อนชาย ,หาเพื่อนหญิง ,หาเพื่อนทอมดี้ ,หาเพื่อนเลสเบี้ยน, 
หาเพื่อนเกย์ ,หาเพื่อนสาวประเภทสอง ,หาแฟน ,หาคนรู้ใจ ,ไลน์,Line,หาเพื่อน line,คุยline,
หาเพื่อนเล่น line,แลก line,หาเพื่อนคุย line,หาเพื่อน line app,หาแฟน line,หาเพื่อนไลน์,
หาเพื่อนคุยไลน์,หากิ๊ก line                      

http://www.fri3nd.net

ลงประกาศฟรี ลงโฆษณาฟรี โพสต์ฟรี ประกาศขายสินค้าฟรี โฆษณาสินค้าฟรี ตลาดซื้อขายสินค้า หางาน สมัครงาน

http://forum.fri3nd.net

ฝากรูป ,เว็บฝากรูป , อัพโหลดรูป ,ฝากรูปฟรี ,ฝากรูปภาพ, รับฝากรูป ,รูปภาพ
http://upic.fri3nd.net

อีกสักตัวกับครีมลดสิวอุดตัน Differin ใครใช้ Retin-A แล้วสิวไม่หายลองตัวนี้ได้นะ

หากพูดถึงครีมละลายสิวอุดตันทุกคนก็คงจะรู้จัก Retin-A เป็นอย่างดี และถ้าพูดถึงครีมลดสิวอุดตันที่ดังไม่แพ้กันก็ต้องยกให้"Differin" ตัวนี้นั่นเอง ซึ่งเจ้าครีมละลายสิวอุดตันตัวนี้มันเหมือนเป็นอีก Generation หนึ่งของยาทารักษาสิวที่ออกมาเพื่อแก้ปัญหาบางอย่างของ Retin-A โดยเฉพาะปัญหาในเรื่องการผลัดเซลผิวที่รุนแรงเกินไป ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ Retin-A ที่ทำให้ใครหลายๆคนไม่กล้าใช้ ทั้งที่ความจริงแล้ว Retin-A จัดเป็นยาที่ช่วยรักษาสิวอุดตันได้ดีมากๆตัวหนึ่ง
Differin ครีมลดสิวอุดตัน

    ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับยาละลายสิวอุดตันที่ชื่อว่า Differin กันซะก่อนว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร ไปยังไงมายังมันถึงนำมาใช้รักษาสิวอุดตันได้ และท้ายบทความผมจะเขียนเปรียบเทียบถึงความแตกต่างระหว่าง Differin กับ Retin-A ให้อ่านกันเป็นบทส่งท้าย ถ้าพร้อมแล้วไล่ดูกันไปทีละเรื่องนะครับ


Differin คือ อะไร?


ความจริงแล้ว Differin กับ Retin-A นั้นมันเป็นญาติกัน เพราะ Differin เป็นอนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ (Retin-A คือ ครีมที่ผสมกรดวิตามินเอเข้าไป) ดังนั้นมันจึงมีการทำงานที่ใกล้เคียงกัน โดยตัวยาหลักของ Differin นั้นคือ Adapalene 0.1% ซึ่งมีสรรพคุณในการรักษาสิวอุดตัน ช่วยลดการอุดตันของผิว มีฤทธิ์ในการผลัดเซลผิว ลดการหนาตัวของเซลผิวชั้นเคราติน จึงสามารถช่วยลดรอยแผลสิว หรือจุดด่างดำได้ด้วย

วิธีการใช้ Differin 


วิธีการใช้ Differin ก็จะเหมือนกับการใช้ Retin-A คือใช้ทาหลังล้างหน้า หรือก่อนเข้านอน โดยช่วงแรกๆอาจทาเฉพาะบริเวณที่เป็นสิวอุดตันก่อน ถ้าทาแล้วไม่มีอะไรน่าตกใจก็สามารถใช้ทาทั่วหน้าได้ ทาทิ้งไว้ทั้งคืนโดยไม่ต้องล้างออก แต่ถ้าใครเพิ่งลองใช้ครั้งแรกอาจทาทิ้งไว้สัก 20-30 นาที แล้วไปล้างออกก็ได้ ถ้ากลัวว่ายามันจะแรงเกินไปอ่ะนะครับ

ใช้ Differin แล้วอาจจิตตกได้


ขึ้นหัวข้อมาอย่างนี้อย่าเพิ่งตกใจว่า Differin มันจะอันตรายนะครับ มันไม่ได้อันตรายอะไรเพียงแต่ว่า เวลาที่เราใช้ Differin ทาสิวอุดตันในช่วงแรกๆ สิวมันอาจจะแย่งกันผุดขึ้นมาบนหน้าโดยที่ไม่ได้นัดหมายกันไว้ก็เท่านั้น ก็อย่างที่บอกว่า Differin มันเป็นครีมที่ใช้รักษาสิวอุดตัน แต่มันไม่ใช่การละลายแล้วยุบหายไป มันจะทำให้สิวที่อยู่ใต้ผิวหนังของเราดันตัวขึ้นมาให้ออกมาสู่โลกภายนอก ซึ่งอาการที่ว่าอาจจะเกิดประมาณ 3-4 สัปดาห์ พอหน้าเราเคยชิน และสิวมันดันตัวขึ้นมาหมด หลังจากนั้นอาการสิวผุดที่ว่าก็จะหายไป สิวมันก็จะค่อยๆแห้งและหลุดออกจากหน้าเราไปเอง ซึ่งอาการที่ว่านี้ก็เกิดขึ้นกับตอนใช้ Retin-A ได้เหมือนกัน แต่อาจจะไม่เกิดขึ้นกับทุกคนนะครับ ถ้าใครไม่เป็นถือว่าโชคดีมากๆ

ถ้าใช้ Differin แล้วสิวอักเสบขึ้นมาเยอะมากทำไงดี?


โอกาสที่จะเกิดสิวอักเสบเวลาใช้ Differin จัดว่ามีสูงมาก เนื่องมาจาก Differin มันจะผลักสิวอุดตันขึ้นมา ทำให้มันมีโอกาสได้ไปเจอสิ่งเร้าต่างๆมากมาย ซึ่งจะทำให้เกิดสิวอักเสบง่ายมาก บางคนใช้ Differin ทาทีหนึ่ง สิวอักเสบขึ้นมาพร้อมกัน 4-5 เม็ดเลยก็มี (ไปพร้อมใจกันที่อื่นได้มั้ย (TT) ) ดังนั้นใครที่กลัวจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นกับหน้าของตัวเองให้ป้องกันไว้ก่อนด้วยการทายาแต้มสิวพวก Clindamycin ไว้ก่อนล่วงหน้า โดยใช้แต้มลงบนหัวสิวที่อักเสบของเรา ใช้คู่กันไปจะช่วยลดการเกิดสิวอุดตันและสิวอักเสบได้ดีขึ้น

ผลข้างเคียงจากการใช้ Differin ทาสิว


ผลข้างเคียงของ Differin  นั้นก็จะคล้ายๆกับ Retin-A คือ ใช้แล้วผิวหน้าจะแห้ง ลอก เป็นขุย บางครั้งอาจเกิดอาการแสบหน้า คันยุบคันยิบ ซึ่งอาการที่ว่าจะน้อยกว่า Retin-A มาก แต่บางคนก็อาจจะแพ้ได้เพราะฉะนั้นอย่าลืม Test ก่อนใช้ Differin ทาหน้าทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยนะครับ อ้อ!!! เกือบลืมไปอย่าลืมทาครีมกันแดดเวลาออกจากบ้านด้วยนะครับ ถึงแม้ Differin จะไม่ทำให้หน้าเราบางเท่าไร แต่กันไว้ก่อนก็ดีครับ

ใช้ Differin นานเท่าไรจึงจะเห็นผล


ความจริงแล้วถ้าให้ระบุเวลาที่แน่นอนคงเป็นไปไม่ได้ เพราะผิวหน้าแต่ละคนก็จะตอบสนองต่อครีมแตกต่างกัน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วต้องใช้ Differin ต่อเนื่องอย่างน้อย 3 เดือนถึงจะเห็นผลการรักษาที่ดี อย่างช่วงแรกๆที่บอกว่าอาจมีอาการสิวผุดได้ อันนี้ก็ต้องอดทนสักหน่อย ใช้อย่างต่อเนื่องให้หน้าได้ปรับตัวสักหน่อยเดี๋ยวดีเอง(เข้าใจว่าอาจจะจิตตกได้)

เปรียบเทียบ Differin และ Retin-A



เปรียบเทียบ Differin และ Retin-A



ตัวยาคนละตัวกัน


ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่าง Differin และ Retin-A ก็คือ มันเป็นตัวยาคนละตัวกัน โดย Differin ตัวยาชื่อว่า Adapalene แต่ Retin-A ตัวยาออกฤทธิ์คือ Tretinoin ซึ่งก็คือ กรดวิตามินเอนั่นเอง

ความแรงไม่เท่ากัน


Differin เป็นยาทาก่อนนอนลดสิวอุดตันเหมือนกับ Retin-A แต่ความแรงของตัวยานั้นน้อยกว่ามาก โดย Differin จะเป็นยาที่อ่อนโยนกว่า ก็อย่างที่บอกไว้ว่า Differin สร้างมาเพื่อแก้ปัญหาความรุนแรงของ Retin-A เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่มั่นใจในความแข็งแรงของผิวหน้าตัวเองแล้วล่ะก็ อาจจะลองใช้ Differin ก่อนก็ได้

เนื้อครีมต่างกัน


Differin เป็นเนื้อเจล ส่วน Retin-A เป็นเนื้อครีม เพราะฉะนั้น Differin จะซึมเข้าผิวได้ดีกว่า Retin-A

ราคาต่างกันเยอะ


Differin เป็นยาละลายสิวอุดตันที่แพงกว่า Retin-A มาก โดย Differin ที่ขนาด 15g ราคาประมาณ 370 บาท ในขณะที่ Retin-A ขนาด 10g ราคา ประมาณ 120 บาท แพงกว่ากันประมาณ 2 เท่าเลยทีเดียว


    นี่ก็เป็นข้อมูลที่น่าสนใจของครีมลดสิวอุดตันที่มีชื่อว่า Differin  ได้อ่านแล้วเป็นยังไบ้างครับ ไม่รู้ว่าน่าใช้หรือน่ากลัวกันแน่ ถ้าผมเล่าแล้วมันฟังดูน่ากลัวก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ จริงๆแล้ว Differin ไม่ใช่ยาที่น่ากลัวอะไร ผมว่ามันเป็นยาที่ช่วยรักษาสิวอุดตันได้ดีมากๆตัวหนึ่งเหมือนกัน โดยส่วนใหญ่แล้วถ้าใครใช้ยาตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้ผล ก็จะเปลี่ยนมาใช้อีกตัวหนึ่งเป็นธรรมดา จะ Differin หรือ Retin-A ก็เลือกเอาครับ อยู่ที่หน้าเรานั่นแหละครับ ว่าจะถูกกับตัวไหนมากกว่ากัน วันนี้เขียนมาเยอะแล้วแบตหมดขอจบการเขียนแต่เพียงเท่านี้ พบกับบทความรักษาสิวได้อีกในบทความหน้า กับ Acnedefendบล็อกเพื่อคนเป็นสิวทุกๆคน วันนี้ลาไปก่อน สวัสดีครับ


Cr.http://acnedefend.blogspot.com/

เคล็ดวิธีป้องกันและรักษาสิวอักเสบ ฉบับคนเคยเป็น(สิว)

ผมเป็นคนนึงที่ใช้บริการของ "สิวอักเสบ" อยู่บ่อยๆ เรียกได้ว่าเป็นลูกค้าประจำเลยก็ว่าได้ วันไหนถ้าได้ออกไปนอกบ้าน ขึ้นรถเมล์ ลงเรือ ต่อรถไฟฟ้า รับรองรองว่าตกดึกเจ้าสิวอักเสบจะมาอยู่บนหน้าแทบทุกครั้ง เนื่องจากจากสิวอักเสบส่วนใหญ่ก็จะเป็นสิวเม็ดใหญ่ เวลาที่มันขึ้นมาบนหน้าของเราก็ต้องอยากรีบกำจัดมันออกไปให้เร็วที่สุด แต่ทว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะมันต้องใช้เวลาในการสุกงอมของมันอีก กว่ามันจะเห็นหัวสิว บาวครั้งก็เป็นอาทิตย์ ยิ่งสิวอักเสบอยู่กับเรานานเท่าไร โอกาสการเกิดรอยแผลเป็นบนหน้าก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น



    เพราะฉะนั้นการป้องกันการเกิดสิวอักเสบเป็นสิ่งสำคัญมากที่ต้องเริ่มทำก่อน แต่ถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องหาวิธีกำจัดสิวอักเสบนี้ให้หายไปในเร็ววัน วันนี้มีวิธีป้องกันและรักษาสิวอักเสบ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของคนเป็นสิวอย่างผมมาฝากกันครับ



การป้องกันสิวอักเสบ


  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสฝุ่นละออง ควันรถ สถานที่มีฝุ่นมีควันเยอะๆ หนีให้ไกลเลยครับ เพราะในฝุ่นละอองจะมีเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวอักเสบอยู่ เมื่อมันมาอุดตันที่รูขุมขนของเรา จะทำให้เกิดสิวอักเสบขึ้นครับ

  • อย่าเอามือไปแตะ จับ แคะ เกาหน้าบ่อย ทำเมื่อจำเป็นเท่านั้น เพราะในมือเรามีเชื้อแบคทีเรียเยอะแยะมากมาย จากการไปจับโน่น นี่ นั่น จับหน้าที่นึงเชื้อโรคก็ไปเกาะที่หน้าทีนึง รับรองสิวอักเสบถามหาแน่นอน

  • อย่าใช้เครื่องสำอางค์ที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบ เพราะจะทำให้เราหน้ามันมากขึ้นก็จะเกิดสิวอักเสบได้ง่ายขึ้น

  • กำจัดความมันบนใบหน้า ด้วยกระดาษซับมัน ซับหน้าเมื่อหน้ามันมากๆเท่านั้น อย่าซับบ่อยเกินไป เพราะจะทำให้หน้ามันมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุให้เกิดสิวเพิ่มขึ้น

  • สระผมทุกวัน สำหรับคนที่ผมยาว ยาวมาปิดหน้าผากหรือมาสัมผัสกับแก้มทั้ง 2 ข้าง เพราะผมเราก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคเช่นกัน และเมื่อมันมาแปะหน้าแปะตาเราก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวอักเสบได้ง่ายเช่นกัน
  • Smooth E Baby face jel กับ Acne-Aid
  • ล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว คนผิวมันก็ควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าแบบเจล คนผิวแห้งก็ควรใช้แบบเนื้อครีม เวลาที่ล้างเสร็จไม่ทำให้ผิวหน้าตึง โดยส่วนตัวแนะนำ Smooth E Baby face Jel กับ Acne Aid เวิร์คครับ( สำหรับคนหน้ามันเพราะผมหน้ามันมากกกกก)

  • อย่าล้างหน้าบ่อย วันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น พอ ถ้าระหว่างวันหน้ามันมากก็ใช้บริการกระดาษซับมันเอาดีกว่า ไม่งั้นสิวเห่อกว่าเดิมแน่นอน (เคยมาแล้วเข็ด!)

  • อย่านอนดึก ก่อน 4 ทุ่มดีที่สุด ยิ่งดึก สิวยิ่งเยอะ

การรักษาสิวอักเสบ

Benzoac AC


  • ใช้ Benzoac Ac 2.50% ทาก่อนล้างหน้าสัก 30 นาที ตรงบริเวณที่เป็นสิวอักเสบเพื่อละลายสิวสักหน่อย

  • ล้างหน้าด้วย Smooth E Baby face Jel หรือ Acne Aid ให้สะอาด ที่บอกว่าให้สะอาดไม่ใช่วน 2-3 ทีก็จะสะอาดนะครับ ควรจะวนที่หน้าเบาๆสัก 1 นาที เพื่อเป็นการเปิดรูขุมขนให้สามารถทำความสะอาดได้หมดจด สำหรับตรงที่เป็นสิวอักเสบให้วนเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่งั้นมันจะอักเสบเพิ่มขึ้น

  • เช็ดหน้าด้วยผ้าเช็ดหน้าโดยเฉพาะ อย่าใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดเพราะมันไม่สะอาดเท่าที่ควร ซับที่หน้าเบาๆให้แห้ง แล้วทิ้งลงตระกร้าไปซักทันที ล้างหน้าอีกทีให้ใช้ผืนใหม่เลยดีที่สุดครับ

  • CLINDA-M

  • แต้มด้วย CLINDA-M ตรงหัวสิวอักเสบก่อนเข้านอน เพื่อสิวอักเสบยุบลงไป หรือช่วยให้หัวสิวมันเปิดจะได้กำจัดมันออกไปได้

  • กดสิวอักเสบออกด้วยที่กดสิว แต่ควรเลือกกดสิวที่มีหัวแล้วเท่านั้น ไม่งั้นสิวจะอักเสบมากกว่าเดิมเพราะกดแล้วมันไม่ออก และที่สำคัญจะทำให้เป็นแผลเป็นตามมา หรือถ้ามีตังค์ก็ไปฉีดที่คลินิคก็ได้อันนี้ปลอดภัยจากรอยแผล แต่เปลือง

    นี่ก็เป็นเคล็ดวิชาการป้องกันและรักษาสิวอักเสบตามสไตล์ของผมเอง อาจจะไม่ได้ผลกับบางคนก็ได้นะครับ แต่ผมลองแล้วเวิร์คครับ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเป็นสิวอักเสบแล้วครับเป็นบ้างแต่นิดๆหน่อยๆ นานๆที หากดูและรักษาตัวเองได้เองก็ควรจะทำเองครับหายแล้วหายเลย ไม่ต้องไปหาหมอนอกจากจะสิ้นเปลืองแล้ว บางครั้งก็ไม่หายขาด ต้องไปรักษาเรื่อยๆ เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลาครับ

แนะนำกันต่อกับครีมกันแดดสําหรับคนเป็นสิว คุมมันดี ลดการเกิดสิว

วันนี้มาแนะนำกันอย่างต่อเนื่องกับ "ครีมกันแดดสําหรับคนเป็นสิว" เรื่องครีมกันแดดเป็นเรื่องฮอตฮิต 
และเหมือนจะขาดไม่ได้กันเลย เพราะเดี๋ยวนี้แดดมันแรงเหลือเกิน ออกบ้านทีนึงก็ต้อง
โบกกันเข้าไปหนาๆแดดจะได้ไม่ทะลุมาโดนหน้ากัน 
ซึ่งสำหรับคนเป็นสิวแล้วการทาครีมกันแดดก็เป็นเหมือนสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ 
เพราะแสงแดดกับความร้อนก็มีผลต่อการเกิดสิวได้ไม่น้อย 
แต่การทาครีมกันแดดที่ไม่เหมาะสมกับสภาพของคนเป็นสิวแล้ว 
ก็มีโอกาสทำให้สิวเพิ่มมากขึ้นได้ก็ทำให้สิวบนหน้าไม่หายไปสักที


แดดร้อน ต้องใช้ครีมกันแดด


   วันนี้ก็เลยอยากแนะนำวิธีการเลือกครีมกันแดด และยี่ห้อครีมกันแดดยอดนิยมสำหรับคนเป็นสิว 
ให้ลองไปใช้กันดู

วิธีการเลือกครีมกันแดดสำหรับคนเป็นสิว


  • เลือกครีมกันแดดที่ป้องกันทั้ง UVA และ UVB ตัว UVA จะช่วยป้องกันการทำลายผิวชั้นในพวกคอลลาเจน 
  • ส่วนตัว UVB ช่วยป้องกันผิวชั้นนอกไม่ให้ถูกเผาจากแดด เมื่อผิวไม่โดน UV มากก็จะลดการกระตุ้นการเกิดสิว
  •  มีส่วนช่วยลดการเกิดสิวได้บ้าง

  • เลือกครีมกันแดดที่มี SPF ไม่มาก  เอาสัก SPF 15 ก็พอแล้วสำหรับการป้องกันแสงแดดในชีวิตประจำวัน 
  • (สำหรับคนที่ไม่ได้ทำงานกลางแจ้งนานๆ) เนื่องจากหากมี SPF สูงจะทำให้การทำความสะอาดใบหน้ายากขึ้น
  •  มีโอกาสเกิดการตกค้างของสิ่งสกปรกในรูขุมขนมากขึ้น ทำให้เกิดสิวมากขึ้นตามมา รวมไปถึงการทาครีมกันแดด
  • ที่มี SPF สูงๆก็จะทำให้หน้ามันยิ่งขึ้น ยิ่งหน้ามันมากๆสิวก็ยิ่งขึ้น เพราะแบคทีเรียมันชอบความมันของหน้าเรานี่
  • แหละ แต่ถ้าใครมั่นใจว่าล้างหน้าได้สะอาดหมดจดแล้วจะเลือกใช้ครีมกันแดด SPF สูงๆก็ไม่ว่ากันครับ

  • อย่าให้มีพวก สาร Paba สาร Paba  เป็นสารที่นิยมใส่ในครีมกันแดดสมัยก่อน แต่จากการตรวจสอบในปัจจุบัน
  • สารนี้จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวง่าย อาจทำให้เกิดการเป็นสิวง่ายด้วย เพราะฉะนั้นก่อนเลือกซื้อครีมกันแดด
  • ควรดูส่วนผสมด้วยว่ามี Paba อยู่หรือเปล่า เผื่อยังมีครีมกันแดดยี่ห้อไหนใส่เข้าไปอยู่

  • เลือกครีมกันแดดแบบไม่กันน้ำ  เนื่องจากครีมกันแดดที่กันน้ำได้จะมีสารเข้าไปเคลือบผิวหน้าของเราเพื่อป้องกัน
  • เหงื่อของเรา ซึ่งสารตัวนี้จะทำให้ล้างออกยาก หากทำความสะอาดหน้าไม่สะอาดแล้ว สิวได้ขึ้นตามมาแน่นอน

  • เลือกครีมกันแดดเนื้อเจล หรือโลชั่น เพราะจะทำให้ซึมเข้าผิวง่าย ไม่เหนียว เหนอะหนะ โดยเฉพาะกับ
  • คนผิวมันหากทาครีมกันแดดที่เป็นเนื้อครีมแล้วก็จะทำให้หน้ามันยิ่งขึ้น เพิ่มการเกิดสิวตามมา

    เมื่อรู้วิธีการเลือกครีมกันแดดเพื่อช่วยลดการเกิดสิวแล้ว 
ต่อไปผมขอแนะนำครีมกันแดดที่เหมาะสำหรับคนเป็นสิวตามความคิดเห็นส่วนตัวจากที่ได้ลองใช้มา
และจากประสบการณ์ของคนอื่นๆด้วยครับ จัดได้ว่าเป็นครีมกันแดดยอดนิยมสำหรับชาวสิวกันเลย




Face Spectraban Facial Sunblock Cream SPF60

ครีมกันแดด Spectraban จัดว่าเป็นครีมกันแดดลำดับต้นๆที่ชาวสิวให้การสนับสนุนกัน 
เหมาะกับคนที่มีผิวธรรมดา ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย เพราะเวลาทาหน้าจะมันสักหน่อย 
แต่อาจเพราะสารที่ผสมอยู่ใน Spectraban จึงทำให้ทาแล้วจะไม่ทำให้เกิดสิว ลดการอุดตันของสิวได้ดี
 หมอที่ศิริราชก็แนะนำให้ใช้ครีมกันแดดยี่ห้อนี้ ด้วยความที่ทา Spectraban  
แล้วหน้าจะมันสักหน่อยก็อาจจะเหมาะกับคนที่ชอบแต่งหน้าเพื่อช่วยลดความมันที่เกิดขึ้น




Biore uv Aqua rich watery essence water base SPF 

50+ PA+++

ครีมกันแดดของ Biore ตัวนี้จัดว่าฮอตฮิตมากๆในหมู่คนเป็นสิวเลยทีเดียว เนื่องมาจากเป็นครีมกันแดดที่ทา
แล้วซึมเร็วมาก ไม่เหนียวเหนอะหนะ ตอนทานึกว่าเอาน้ำมาทาหน้าซะอีก มาพร้อมกับ SPF 
อันสูงส่งถึง SPF 50 กับราคาสบายกระเป๋า 290 บาทเท่านั้น คืออย่างที่เขียนตอนแรกบอกว่าให้ใช้ครีมกันแดด
ที่มี SPF ต่ำเพราะว่ายิ่ง SPF สูงจะยิ่งทำให้เนื้อครีมหนาแล้วล้างออกยาก แต่ water base SPF 50+ 
PA+++ ตัวนี้คือ SPF 50 จริงแต่มันซึมเร็วและล้างออกง่าย จึงไม่น่าแปลกใจที่คนเป็นสิวจะเทคะแนนให้กับครีม
กันแดดตัวนี้ไปอย่างท่วมท้น ขนาดนิตยาสาร vivi ก็ยังแนะนำครีมกันแดดตัวนี้เหมือนกัน




ZA True White  Power UV SPF40 PA +++ 

ครีมกันแดด ZA ตัวนี้ก็ร้อนแรงไม่ใช่เล่น มีฐานลูกค้าอยู่ไม่น้อยทีเดียว ด้วยคุณสมบัติการคุมความมันบนหน้าได้ดี
 บางทีดีจนแห้งแตกเลยก็มี เนื้อเป็นครีมเหมือนจะซึมไม่ดีแต่ทาไปได้สักพักหนึ่งหน้านี่แห้งสนิทเลย 
พูดได้เลยว่าแปลกแต่จริง ด้วยจุดเด่นที่การคุมความมันทำให้ชาวสิวนิยมใช้ ZA มากๆ 
บางคนถึงขนาดประกาศว่าจะไม่ใช้ยี่ห้ออื่น เพราะตกหลุมรัก ZA ตัวนี้เข้าให้แล้ว

    การเลือกครีมกันแดดสำหรับคนเป็นสิวก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะนอกจากจะช่วยป้องกันไม่ให้หน้าดำแล้ว 
ยังช่วยลดการเกิดสิวได้อีกทางหนึ่ง หากเลือกใช้ได้ถูกตัวถูกยี่ห้อแล้ว บางครั้งก็อาจจะช่วยแก้ไขปัญหาสิวที่เกิดขึ้นได้เลยก็มี 
แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการทำความสะอาดหน้าหลังจากที่ทาครีมกันแดดแล้ว ควรล้างออกโฟมล้างหน้า
 หรือ Cleanser
 ให้สะอาดหมดจดจริงๆ ไม่อย่างนั้นสิวก็จะไม่มีทางหายไปแน่นอน ก็ยังคงต้องเป็นสิวกันอย่างนี้ต่อไป
 ยังไงก็หวังว่าเพื่อนๆคงจะชอบบทความครีมกันแดด
นี้นะครับ

รู้มั้ย!ตำแหน่ง'สิว'บนใบหน้าบอกอะไร


$title


1.หน้าผากด้านซ้ายและขวา เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ และต่อมหมวกไต
สาเหตุ มีความเครียดสูง ล้างหน้าไม่สะอาด ทารองพื้นหรือแต่งคิ้วมากไป

2. บริเวณหว่างคิ้ว อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโทส ( ดื่มนมวัวไม่ได้ )
สาเหตุุ เพราะกินอาหารรสจัด หรือกินอาหารดึกเกินไป

3.บริเวณใบหูทั้ง 2 ข้าง เกี่ยวข้องกับการทำงานของไต 
สาเหตุ ล้างแชมพูหรือสบู่ออกไม่หมด ใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป ดื่มกาแฟ แอลกอฮอล์ หรือกินเนื้อสัตว์มากเกินไป หรือหากมีปัญหาสิวอุดตันช่วงใบหู อาจแสดงว่าฟันกรามมีปัญหา หรือว่าเพิ่งผ่าตัดฟันมา หรืออาจเกิดจากการมีรอบเดือน

4.บริเวณแก้มทั้ง 2 ด้าน แก้มส่วนบน เกี่ยวข้องกับไซนัสและปอด แก้มส่วนล่าง เกี่ยวข้องกับเหงือกและฟัน
สาเหตุ สูบบุหรี่จัด หรือแพ้ควันบุหรี่ ภูมิแพ้ เป็นหวัดเรื้อรังหรืออาจใช้บลัชออนและรองพื้นไม่เหมาะสม แต่ถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้มอาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอดหรือการหายใจ ถ้ามีสิวแบบเป็นๆหายๆที่แก้มด้านล่างอาจมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน หรือโทรศัพท์มือถือไม่สะอาด

5.บริเวณรอบดวงตาทั้ง 2 ข้าง เกี่ยวข้องกับการทำงานของไต โรคภูมิแพ้ 
สาเหตุ เครื่องสำอางที่ใช้อาจไม่เหมาะกับสภาพผิวหรือใส่แว่นตาที่เสียดสีมากรอยคล้ำอาจเกิดจากการมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก หรือพักผ่อนน้อย เปลือกตาหากมีการระคายเคืองอาจมาจากการเป็นภูมิแพ้หรือขาดสารอาหาร

6. บริเวณจมูกและเหนือริมฝีปาก เกี่ยวกับการทำงานของหัวใจและระบบสืบพันธุ์ หากมีผิวสีแดงเข้มที่จมูก
สาเหตุ อาจบ่งบอกถึงโรคความดันโลหิตสูง การอุดตันหรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ บอกถึงผลกระทบจากฮอร์โมนเช่น กำลังมีประจำเดือน วัยทอง การใช้ยาคุมกำเนิด

7.บริเวณใต้ริมฝีปากด้านซ้ายและขวา เกี่ยวข้องกกับการทำงานของรังไข่
สาเหตุ อาจทำความสะอาดไม่ดีพอ หรือมาจากขาดความสมดุลทางฮอร์โมน 

8.บริเวณปลายคาง เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก 
สาเหตุ อาจกินอาหารรสจัดเกินไปจนลำไส้เป็นแผล หรือมีปัญหาในการดูดซึม



ขอขอบคุณข้อมูลจาก Living in shape

9ขั้นตอนดูแลผิว เมื่อสิวมาหา


$title


ทุกคนที่มีสิวเกิดขึ้น ไม่ว่าจะบนใบหน้า หรือแผ่นหลังก็ตาม มักประสบปัญหาผิวหนังมีร่องรอยจากสิว จำนวนมากบ้าง น้อยบ้าง แตกต่างกันไปตามสภาพผิว และ/หรือพฤติกรรมขณะเกิดสิวด้วย

มีข้อแนะนำสำหรับการดูแลผิวของผู้ที่เป็นสิวโดยทั่วไป ดังนี้

1. ล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน
ตอนเช้าล้างหน้า 1 ครั้ง และตอนเย็นอีก 1 ครั้ง หลังออกกำลังกายหากเหงื่อออกมากอาจล้างหน้าได้ แต่ถ้าหน้าแห้งมากอาจลดการใช้สบู่ลงได้

2. การขัดถูใบหน้า
ไม่ควรใช้สบู่ที่แรงๆ สบู่ยา หรือสบู่ที่ผสมเม็ดขัดถู ควรล้างหน้าอย่างแผ่วเบา โดยล้างหน้าตั้งแต่ใต้คางไปจดแนวไรผมที่หน้าผาก

***หลังฟอกสบู่ต้องล้างสบู่ออกให้หมด หลีกเลี่ยงการใช้โลชันที่ผสมแอลกอฮอล์เช็ดใบหน้า เว้นเสียแต่ว่าผิวหนังมันมากและก็ควรใช้เฉพาะบริเวณที่ผิวมันมากเท่านั้น ควรสระผมอย่างสม่ำเสมอ และผู้ที่มีผมมันมากอาจต้องสระผมทุกวัน

3. ไม่บีบแกะสิว
การบีบแกะสิวจะทำให้เกิดสิวอักเสบลุกลาม แผลเป็น และรอยดำ ไม่ควรถูและจับผิวหนังบ่อยๆ โดยเฉพาะตรงบริเวณที่เป็นสิว

4. โกนหนวดอย่างระมัดระวัง
การโกนหนวดแต่ละครั้งอาจลองเลือกใช้ทั้งใบมีดโกน หรือเครื่องโกนหนวดไฟฟ้า ทดลองดูว่าแบบใดจะเหมาะสมสำหรับสภาพผิวของตนเองมากที่สุด ในผู้ที่ใช้มีดโกนต้องเปลี่ยนใบมีดเสมอ ควรล้างหน้าฟอกสบู่และถูสบู่บริเวณหนวดเคราและทิ้งไว้จนเส้นขนนุ่มขึ้น แล้วจึงทาครีมโกนหนวด เวลาโกนหนวดจะต้องโกนตามแนวเส้นขน อย่าโกนย้อนขึ้น เพราะอาจทำให้เกิดตุ่มขนคุดแล้วอักเสบเป็นหนองได้

5. หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดจัด
ยารักษาสิวส่วนใหญ่มักทำให้ผิวไหม้แดดง่ายขึ้น บางคนเชื่อว่าการอาบแดดจัดทำให้สิวหายเร็ว เพราะเมื่อผิวคล้ำขึ้นจะกลบเกลื่อนรอยอักเสบเห่อแดงและรอยดำของสิว แต่แท้ที่จริงแล้วแสงแดดจัดอาจทำให้สิวกำเริบและยังทำให้ผิวเหี่ยวแก่ และเกิดมะเร็งผิวหนังง่ายขึ้น

6. การใช้ยาทารักษาสิวที่ซื้อมาเอง
ต้องอ่านฉลากยาให้เข้าใจละเอียดเสียก่อน ถ้าเป็นยาที่สั่งจ่ายโดยแพทย์ต้องใช้ตามคำแนะนำและใช้อย่างสม่ำเสมอ

7. ผลิตภัณฑ์ปกปิดรอยสิว (cover - up products)
ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ปกปิดสิวหลายชนิดที่อาจพรางให้สิวจางลง และรอเวลาให้สิวหายเองได้ ส่วนใหญ่ใช้ได้ผลและไม่ทำให้สิวแย่ลง

8. เครื่องสำอางบางตัวและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
มีเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อาจทำให้สิวเลวลงได้ เลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า ไม่ก่อให้เกิดสิว (non comedogenic)

9. อาหารหวานจัด
งดกินอาหารหวานจัด เช่น ขนมหวาน อาหารจำพวกแป้ง และอาหารที่มีไขมันหรือส่วนผสมของนมและผลิตภัณฑ์จากนมสูง พยายามไม่เครียด โดยการออกกำลังกาย และนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ

รักษาสิวผดอย่างไรให้ได้ผล


$title


สิวผด เป็นหนึ่งในปัญหาเรื่องสิวๆ ที่คุณสาวๆส่วนใหญ่ต่างต้องเคยสัมผัสกับความน่ารำคาญของมันกันมานักต่อนักแล้ว ซึ่งเจ้าสิวผดนี่จะออกมาวาดลวดลายทวีจำนวนแผลงฤทธิ์มากขึ้นเป็นพิเศษในช่วงหน้าร้อนที่มีแสงแดดแรงกล้า

ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมตัวคุณสาวๆ พร้อมในการดูแล และรักษาผิวหน้าให้ห่างไกลจากสิวผด จึงอยากให้คุณสาวๆอ่านทำความเข้าใจบทความชิ้นนี้ ซึ่งกำลังจะสอนทุกสิ่งทุกอย่างในการรับมือเจ้าสิวผดให้กับตัวคุณ

$title


ลักษณะของสิวผด
สิวผด หรือ สิวเทียม (Acne Aestivale) มักจะมีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ ซึ่งมักชอบขึ้นอยู่ใกล้ๆกันเป็นจำนวนมากๆ หากมองดูเผินๆจะคล้ายกับผื่น มักจะขึ้นบริเวณหน้าผาก ถ้าหากเกิดการอักเสบขึ้น สิวผดจะกลายเป็นสีแดง และในบางครั้งอาจจะกลายเป็นหนองอีกด้วย 


สาเหตุที่ทำให้เกิดสิวผด สิวผด สามารถเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักที่จะเกิดขึ้น จากสาเหตุดังต่อไปนี้
การล้างหน้าบ่อยจนเกินไป
การล้างหน้าแรงจนเกินไป
การล้างหน้าด้วยน้ำร้อน
แสงแดด และความร้อน เป็นสาเหตุสำคัญอันดับ 1 ที่ทำให้เกิดสิวผดขึ้นบนใบหน้า
อาการแพ้ เช่น แพ้เหงื่อ แพ้น้ำ หรือการใช้ครีม โฟมล้างหน้า ยาสระผม ที่แรงจนเกินไป ไม่เหมาะกับผิวของตัวเอง เป็นต้น
ร่างกายไม่แข็งแรง
พักผ่อนไม่เพียงพอ
อุปกรณ์ที่ใช้ในการแต่งหน้าไม่สะอาด เช่น พัฟแป้งไม่สะอาด เป็นต้น

$title


วิธีการดูแลรักษาตัวเองให้ห่างไกลจากสิวผด

เนื่องจากสิวผด เป็นสิวที่สามารถเกิดขึ้นได้จากสาเหตุที่หลากหลายมากๆ ดังนั้นการดู และการรักษาสิวผด จึงจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจกับสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวผดขึ้น พร้อมกับแยกวิธีการรักษาออกไปให้เหมาะสมกับคุณสาวๆ แต่ละคน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการรักษาที่ดีสุด

$title


การรักษา สามารถแบ่งออกได้ตามลักษณะของสาเหตุการเกิด ดังต่อไปนี้

1. สิวผดที่เกิดขึ้นจากการล้างหน้าบ่อยจนเกินไป ควรเริ่มการรักษาจากการไม่พยายามรบกวนผิวหน้ามากจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการล้าง ขัด หรือพอกหน้า เกินกว่าความจำเป็น

2. สิวผดที่เกิดขึ้นจากการล้างหน้าแรงจนเกินไป สำหรับคุณสาวๆบางคนมักจะคิดว่า การล้างหน้ายิ่งออกแรงมากเท่าไหร่ ใบหน้าก็จะยิ่งมีความสะอาดมากขึ้นเท่านั้น แต่นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะยิ่งล้างหน้าแรงๆ ก็จะยิ่งทำให้ใบหน้าเกิดการเสียดสี ซึ่งเป็นการรบกวนผิวหน้าอย่างรุนแรง ทำให้สิวผดมีโอกาสเกิดขึ้นสูง ดังนั้นคุณสาวๆ ควรจะทำการล้างหน้าอย่างเบามือ และนุ่มนวลจะดีกว่า

3. สิวผดที่เกิดขึ้นจากการใช้น้ำร้อนล้างหน้า ถึงแม้จะเป็นเพียงการใช้น้ำอุ่นในการล้างหน้าก็ตาม ก็ยังมีโอกาสที่จะทำให้เกิดสิวผดขึ้นได้เช่นกัน ดังนั้นขอแนะนำให้คุณสาวๆ หันไปทำการล้างหน้าด้วยน้ำเย็นจะดีกว่า

4. สิวผดที่เกิดขึ้นจากแสงแดด และความร้อน การรักษาต้องเริ่มต้นจากการพยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดและความร้อนเป็นอันดับแรก แต่ถ้าจำเป็นที่จะต้องทำงานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อแสงแดด ให้ทำการทาครีมกันแดดทุกครั้ง เพื่อเป็นการปกป้องผิว โดยเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง และเลือกครีมกันแดดที่ปราศจากส่วนผสมของน้ำมัน นอกจากนี้เพื่อเป็นการปกป้องผิวที่ดีมากขึ้น ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30+++ ขึ้นไป

5. สิวผดที่เกิดขึ้นจากอาการแพ้ ควรเริ่มจากการศึกษาสภาพผิวของตัวเองว่ามีอาการแพ้อะไรบ้าง ถ้าหากแพ้เหงื่อก็ต้องพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่จะทำให้เกิดเหงื่อขึ้น แต่หากเป็นการแพ้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดร่างกายต่างๆ ก็ควรที่จะทำการทดสอบก่อนใช้ว่ามีอาการแพ้หรือไม่ หรือหันไปใช้ผลิตภัณฑ์ ที่มีความอ่อนโยนกับผิว เป็นต้น

6. สิวผดที่เกิดขึ้นจากร่างกายไม่แข็งแรง สาเหตุที่ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงนั้น ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นจากความเครียด ซึ่งทำให้ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุลจนร่างกายอ่อนแอลง การคลายความเครียดเองก็มีหลายวิธีขึ้นอยู่กับว่าคุณสาวๆแต่ละคนมีการกำจัดความเครียดแบบไหน แต่หากร่างกายอ่อนแอจากการเจ็บป่วย หรือกรรมพันธุ์แล้วล่ะก็ ขอแนะนำให้คุณสาวๆไปทำการพบแพทย์ เพื่อปรึกษาหาวิธีรักษาที่ถูกต้องที่สุดจะดีกว่า

7. สิวผดที่เกิดขึ้นจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ สำหรับสิวผดประเภทนี้สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายๆ โดยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเท่านั้น

8. สิวผดที่เกิดขึ้นจากอุปกรณ์แต่งหน้าที่ไม่สะอาด ถ้าหากคุณสาวๆเป็นคนที่ชื่นชอบการแต่งหน้า ก็ขอแนะนำให้ทำการเปลี่ยนอุปกรณ์สำหรับใช้ในการแต่งหน้าบ่อยๆ เพราะยิ่งใช้อุปกรณ์เหล่านี้นานมากเพียงใด ก็จะมีการสะสมตัวของเชื้อโรคมากขึ้นเท่านั้น

ถ้าจะให้ดี หากคุณสาวๆสามารถหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ก็จะช่วยให้ใบหน้าห่างไกลจากสิวผดได้มากยิ่งขึ้น

การรักษาใช้ยาเพื่อรักษาสิวผด 
โดยปกติแล้ว แพทย์จะไม่ให้ยารักษาอาการสิวผด หากไม่มีอาการอักเสบ หรือเป็นสิวผดเห่อมากทั้งใบหน้า เช่น ในกรณีที่แพ้เครื่องสำอาง เป็นต้น แพทย์จะให้ทำการทายาสเตียรอยด์ในปริมาณน้อยๆ ในระยะเวลาอันสั้นที่สุด

เนื่องจากยาดังกล่าวมีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก เช่น ทำให้หลอดเลือดขยาย หน้าแดง แพ้ง่าย และผิวจะบอบบางลงมากกว่าเดิม นอกจากนี้การรักษาสิวผด ยังสามารถทำได้โดยการใช้ยาทา 2 ชนิด คือ

1. ยาในกลุ่ม Benzoyl Peroxide โดยควรเริ่มจากการทาความเข้มข้นที่ต่ำที่สุดก่อน คือ 2.5% ทำการทาลงไปบนบริเวณที่มีสิวผด ทิ้งเอาไว้ประมาณ 5-20 นาที แล้วล้างออก สามารถทำการทาได้วันละ 1-2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของของแต่ละคน เมื่อทำการทดสอบแล้วว่าไม่มีอาการแพ้ จึงค่อยเพิ่มความเข้มข้นของยาไปที่ 5%

2. ยาทากรดวิตามินเอ ควรเริ่มจากการทายาที่มีความเข้มข้นต่ำที่สุดก่อนเช่นกัน คือ 0.0125% หรือ 0.025% เมื่อไม่มีอาการแพ้ใดๆ แล้วจึงค่อยๆทำการเพิ่มความเข้มข้นไปเป็น 0.05% และควรทำการทาก่อนนอนเท่านั้น ไม่ควรทำการทางในช่วงเวลากลางวัน เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการแพ้แดดขึ้นได้

ข้อควรระวังในการใช้ยาทั้ง 2 ประเภทนี้ ในการรักษาสิวผด คือ ในกรณีของคนที่แพ้ อาจจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้ง่าย ซึ่งอาจจะทำให้ใบหน้าเกิดอาการเห่อแดงขึ้นได้

สำหรับคนที่ไม่สามารถใช้ยาทั้ง 2 ชนิด ในการรักษาสิวผดได้นั้น ขอแนะนำให้ใช้ยาตัวอื่นที่ไม่ส่งผลให้เกิด ความระคายเคือง ที่มีส่วนผสมของ Resorcinol

ในปัจจุบันมีครีม หรือแป้งน้ำรักษาสิว ที่มีส่วนผสมดังกล่าวอยู่มากมายหลายยี่ห้อให้คุณสาวๆ เลือกใช้ได้ตาม


อ้างอิงข่าวจาก - sanook